วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

มะเร็งต่อมลูกหมาก: โรคที่พบมากเป็นอันดับที่ 19 ของชายไทย

มารู้จักกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตของนักโทษชายทักษิณกันครับ เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวป้องกันกันนะครับ

ข้อมูลจากนิิตยสารผู้จัดการ ปี ๒๕๔๒ เดือนกุมภาพันธ์ (เสียดายครับนักโทษชายทักษิณคงไม่ได้อ่าน)

ก่อนที่วิทยาการด้านการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าเหมือนอย่างในปัจจุบันนั้น ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาหากมีผู้ป่วยตายอย่างปุบปับ การลงมรณะบัตรมักจะบอกว่าสาเหตุการตาย เกิดจากเป็นลมปัจจุบัน แต่แท้จริงผู้ป่วยอาจเป็น heart attack คือกล้ามเนื้อหัวใจตาย เนื่องจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจที่เรียกว่า coronary arteries ถูกอุดตัน ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้ แต่สมัยก่อนไม่มีการตรวจฉีดสารทึบแสงเข้าเส้นเลือด (coronary angio- graphy) เหมือนสมัยนี้ ปัจจุบันคนมีความรู้มีการศึกษาที่ดีขึ้น มีความสนใจในสุขภาพและศึกษาหาความรู้ เพื่อเข้าใจในโรคต่างๆ มากขึ้น และรู้จักที่จะไปพบแพทย์เฉพาะทาง ทำให้การตรวจและวินิจฉัยโรคเป็นไปได้รวดเร็วไม่หลงทาง ไม่ล่าช้าเสียเวลาและทำให้การรักษาเป็นไปโดยรวดเร็วในขณะที่โรคยังเป็นใน ระยะต้นๆ ซึ่งทำให้ผลการรักษาดีขึ้น มีโอกาสหายมากขึ้น

โรคมะเร็งต่อมลูกหมากก็เช่นกัน โรคนี้พบมากที่สุดในจำนวนมะเร็งของผู้ชายในสหรัฐอเมริกา โดยคนผิวดำเป็นมากถึง 1.5 เท่าของคนผิวขาว และเป็นสาเหตุของการตายอันดับที่ 2 รองจากมะเร็งปอด

สำหรับชายไทย มะเร็งต่อมลูกหมากพบมากเป็นอันดับที่ 19 แต่ความจริงอาจพบบ่อยกว่านี้ แต่ชายไทยไม่ได้ไปตรวจวินิจฉัยและรักษา ทำให้สถิติที่มีอาจจะไม่แท้จริง

ต่อมลูกหมากมีแต่ในเพศชาย (นอกจากหญิงที่ผ่าตัดแปลงเพศมาจากชาย และไม่ได้ผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกไปด้วย) อวัยวะนี้อยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะ และห่อหุ้มท่อ ทางเดินปัสสาวะส่วนต้นๆ ขนาดเท่าลูก walnut ซึ่งคงเท่าลูกหมากของคนไทย (จึงได้ชื่อว่าต่อมลูกหมาก) น้ำหนักประมาณ 20 กรัม เนื้อเยื่อแข็งอย่างนิ่ม หรือนิ่มอย่างแข็ง เหมือนยางในรถยนต์ รูปร่างคล้ายหัวใจหรือใบโพธิ์ ส่วนแหลมอยู่ด้านล่าง

หน้าที่ของต่อมลูกหมากคือสร้างของเหลว (fluid) เพื่อ ปกป้องและส่งเสริมการทำงานของสเปิร์ม (sperm) โดยปกติน้ำอสุจิซึ่งมีประมาณ 3.5 ซี.ซี. จะประกอบด้วยของเหลวจากต่อมลูกหมาก 0.5 ซี.ซี. และจากในลูกอัณฑะ (seminal vesicles) 2.0-2.5 ซี.ซี. ของเหลวที่หลั่งออกมาจากต่อมลูกหมากประกอบด้วยสังกะสี (ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากติดเชื้อโรค), acid phosphatase และ Prostate specific antigen (PSA) ซึ่งเป็น enzyme ชนิดหนึ่ง (serine protease) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยทำให้น้ำอสุจิเป็น ของเหลวใส (liquify) เพื่อสเปิร์มซึ่งตัวเล็กมาก(มองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น) จะได้เคลื่อนไหวว่ายไปได้สะดวก PSA นี้พบเมื่อปี ค.ศ. 1979 ในจำนวน PSA ในเลือด (serum) ยังแบ่งเป็น Complexed PSA และ Noncomplexed (free) PSA ผู้ชายสูงอายุจะมี PSA ใน serum สูงกว่าปกติเนื่องจากต่อมลูกหมากโตขึ้น (นั่นคือเหตุผลที่ว่าชายสูงอายุปัสสาวะขัด เพราะต่อมลูกหมากไปกดรัดท่อทางเดินปัสสาวะ) แต่ไม่มากนัก ผู้ที่เป็นมะเร็งจะมีจำนวนเปอร์เซ็นต์ของ free PSA ต่ำ เมื่อคำนวณเทียบกับ PSA ทั้งหมด และมะเร็งที่โตอย่างรวดเร็ว (aggressive) ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ของ free PSA ต่ำยิ่งขึ้น

การเจริญเติบโตและการทำงานของต่อมลูกหมาก ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเพศชายคือ testosterone จากลูกอัณฑะ (testicles) ฮอร์โมนเพศชายตัวอื่นเป็นจำนวนน้อยได้แก่ androgen หลั่งมาจากต่อมหมวกไต (adrenal glands) นั่นคือเหตุผลที่ว่าคนที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะถูกแนะนำให้ผ่าตัดเอา ลูกอัณฑะออก (เหมือนการตอน) เพื่อจะได้ไม่มีฮอร์โมนไปกระตุ้นมะเร็งให้เจริญเติบโต

สาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากไม่เป็นที่ทราบแน่นอน มีการคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนมีส่วนที่ทำให้เกิดมะเร็ง (ขันทีไม่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เพราะไม่มีฮอร์โมนไปเลี้ยงต่อมลูกหมาก) กรรมวิธีของการเกิดมะเร็ง มีความสลับซับซ้อนมาก สรุปง่ายๆ คือ เซลล์ (cells) ที่บุ (line) ต่อมและท่อเปลี่ยนจาก cells ธรรมดา ไปเป็น cells ผิดปกติ และแบ่งตัวเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ แต่อะไรไปจุดชนวน (trigger)ให้กรรมวิธีอันนี้เกิดขึ้น ยังไม่เป็นที่ทราบกันแน่นอน (ถ้าพบแน่เราก็อาจจะป้องกันได้) สิ่งแวดล้อมอาจจะมีส่วนทำให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา เหตุที่คิดเช่นนี้เพราะพบว่าคนงานที่ทำงานอุตสาหกรรมบางอย่าง มีอัตราการตายจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากสูงกว่าคนธรรมดา เช่นคนที่ทำงานเกี่ยวกับ cadmium (ซึ่งมีฤทธิ์ตรงข้ามหรือ antagonist ต่อสังกะสี) ยางรถยนต์ (tyre) ยาง (rubber) ช่างเครื่อง (mechanists) และคนที่ทำงานเกี่ยวกับโลหะหนักทั้งหลาย

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สาเหตุของมะเร็งอาจเกิดจากอาหารที่มีไขมันสูง (ซึ่งทำให้มีโอกาสของการเกิดโรคมะเร็ง อื่นๆ เช่น ลำไส้ใหญ่ สูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ไขมันสูงยังเป็นสาเหตุของโรคที่ไม่เกี่ยวกับมะเร็งเช่น โรคความดันสูง โรคเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองตีบ กล้ามเนื้อหัวใจและ cells สมองตาย เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง) ในผู้ชายที่มีญาติพี่น้องผู้ชายหรือบิดาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดนี้มากกว่าคนธรรมดา

อาการมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะไม่มีในระยะต้นๆ แต่เมื่อ cells มะเร็งแบ่งตัวไปเรื่อย ทำให้ก้อนมะเร็งโตขึ้นจะไปกดท่อทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะขัดและลำบาก ใช้เวลานานกว่าน้ำปัสสาวะจะออกมาได้ หรือกระปริบกระปรอย ถ่ายไม่สุด ถ่ายบ่อยโดยเฉพาะกลางคืน ถ้ามะเร็งเติบโตเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ อาจจะทำให้ปัสสาวะเป็นเลือด อาจไปกดทางเปิดของท่อไต ทำให้ไตเสีย นอกจากนี้มะเร็ง อาจแพร่เข้าไปสู่ต่อมน้ำเหลืองและเข้าไปสู่ระบบไหลเวียนของโลหิตและแพร่ไป ยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกและทำลายกระดูก ทำให้เจ็บปวดมาก ถ้ากระดูกส่วน ที่ถูกทำลายคือกระดูกสันหลัง มะเร็งอาจจะโตเข้าไปกดไขสันหลัง (spinal cord) ทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ เดินไม่ได้ ปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้ เป็นที่ลำบากในการดูแลของภรรยาและลูกหลาน

การรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ประกอบด้วยการผ่าตัดเอาต่อมออก ซึ่งได้ผลดีในระยะต้นๆ เท่านั้น การรักษามะเร็งโดยรังสีได้ผลดีในโรคระยะต้นๆ เท่ากับการผ่าตัด แต่ในโรคระยะหลังๆ การผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกไม่เป็นที่แนะนำ ควรเป็นการรักษาโดยฉายรังสีซึ่งครอบคลุมทั้งต่อมลูกหมากและต่อมน้ำเหลืองใน อุ้งเชิงกราน ในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้วมักจะรักษาโดยการใช้ฮอร์โมน เช่น ผ่าตัดเอาลูกอัณฑะออก เพื่อเอาฮอร์โมนที่กระตุ้นมะเร็งออก
ไปและให้ยาฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งทำกันมา 50 ปีแล้ว ปัจจุบันมีการใช้ฮอร์โมนซึ่งไปกดการปล่อยฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (Pituary gland) ซึ่งไปกระตุ้น testicles และ/หรือให้ฮอร์โมน ซึ่งไปกีดกันขัดขวางไม่ให้ cells มะเร็งถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนธรรมชาติของร่างกาย ในรายที่มะเร็งแพร่ไปที่กระดูก อาจให้รังสีรักษา เพื่อบรรเทาอาการปวด ซึ่งมักจะได้ผลดี บางรายที่มะเร็งไปที่กระดูกสันหลังและทำท่าว่าจะกดไขสันหลัง อาจจะต้องให้รังสีรักษาเพื่อหยุดการเติบโตของมะเร็งและป้องกันการเกิดอัมพาต อัมพฤกษ์

เนื่องจากการรักษาอาจจะโดยการผ่าตัดหรือให้รังสี ได้ผลดีเฉพาะในระยะต้นๆ ดังนั้นการตรวจพบโรคในระยะแรกๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าท่านมีอาการปัสสาวะเช่นที่กล่าวมาแล้วก็ควรรีบไปหาแพทย์เพื่อรับการตรวจ โดยเร็ว ก่อนที่มะเร็ง(ถ้าเป็น)จะโตเข้าสู่ระยะสูงขึ้น แต่ที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้โรคเกิดขึ้น จริงอยู่ที่เราไม่ทราบสาเหตุแน่นอนที่ trigger ให้ cells ธรรมดากลายเป็น cells มะเร็งขึ้นมา แต่เมื่อทราบปัจจัยเสี่ยงซึ่งส่งเสริมให้เกิดการเป็นมะเร็งดังที่กล่าวไว้ แล้ว ก็ควรจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันเสีย ส่วนคนที่ทำงานเกี่ยวกับโลหะและยาง ซึ่งเปลี่ยนงานไม่ได้เพราะหางานยากในสมัยนี้ ก็ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ รวมทั้งตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งแพทย์ทำได้ง่ายๆ โดยการตรวจ ร่างกายและตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนัก(digital rectal examination) และตรวจดูระดับ PSA ในเลือด อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะมันอาจช่วยชีวิตท่านได้

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

เก็บตกจากฟอร์เวริดเมลล์ต่อนะครับ

++++++++++++++++++++++++++ ความฝันในต่างแดน ++++++++++++++++++++++++++

แม้ว .......... หนูมานั่งร้องไห้ทำไม

เด็ก .......... หนูอยากกลับบ้านครับ

แม้ว .......... หนูก็กลับบ้านสิครับ แล้วบ้านอยู่ไหนล่ะ

เด็ก .......... กลับไม่ได้ครับ

แม้ว .......... ทำไมล่ะหนู

เด็ก .......... หนูไปขโมยเงินเขาครับ แล้วเขาจับได้ หนูก็เลยกลับไม่ได้ แล้วหนูก็อายด้วย

แม้ว .......... คนเราทำผิดก็ต้องยอมรับผิดสิหนู ไม่ต้องอาย

เด็ก .......... ครับ ! ขอบคุณๆลุงมากครับ บ้านลุงอยู่ที่ไหนครับ แล้วลุงเคยขโมยเงินไหมครับ

แม้ว .......... คือ เออ! เออ! เออ! เออ!

เด็ก .......... เออ ไรครับลุง

แม้ว .......... แง๊ แง๊ แง๊ แง๊ แง๊














วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

วันนี้ไม่เครียด
















เป็นห่วงพี่น้องชาวสีลม ขอให้ระวังตัวด้วยครับและอย่าลดตัวไปตีต่อยกับไอ้พวกเถือนแดงเลยครับจะไม่คุุ้ม ตำรวจเขาก็ไม่ได้ป้องกันเราเขาอยู่ฝ่ายโน่นครับ ส่วนทหารนายไม่สั่งก็เลยมานั่งดูอย่างเดียว

วันนี้เอารูปสนุกๆ แต่ได้ใจมาให้ดูกันแก้เครียดครับ ( ที่มาจากฟอร์เวิรดเมลล์ ขอบคุณผู้รวบรวมครับ)

Truth Today In Thailand



It is clear the group riot of red shirts in Thailand Intended to change the democracy government of the country into a dictatorship by former prime minister Thaksin Shinawatra. Who was charged with fraud cases fled the country and are abroad are behind the insurgency and terrorism in Thailand



It is clear the group riot of red shirts in Thailand Intended to change the democracy government of the country into a dictatorship by former prime minister Thaksin Shinawatra. Who was charged with fraud cases fled the country and are abroad are behind the insurgency and terrorism in Thailand


From forward mail

"ขอขอบพระคุณคุณหมอแพทย์ทหารผู้นี้ครับที่นำความจริงมาตีแผ่สู่สารธารณะชน"

ผมในฐานะแพทย์ทหารคนหนึ่งที่ปฎิบัติงานในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 อยากจะเขียนบันทึกความทรงจำเหตุการณ์ในวันนั้น เพื่อเก็บไว้เป็นบทเรียน เป็นอุทาหรณ์ หรือเป็นสิ่งเตือนใจให้แก่ตนเอง และประชาชนชาวไทย ไม่ให้ลืมเลือนบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปกับกาลเวลา

ผมได้รับ ภารกิจในฐานะ ผบ.มว.สร.พัน.ร. (ผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ กองพันทหารราบ) หรือก็คือแพทย์ทหารประจำกองพัน หน้าที่ของผมคือติดตามดูแลกำลังพลเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย การป้องกันโรค การส่งกำลังบำรุงทางสายแพทย์ รวมถึงงานอื่นๆตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ผมมาภารกิจในครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 53 ย้ายสถานที่พักไปตามภารกิจต่างๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตั้งด่านตรวจ และเฝ้าระวังเหตุร้ายตามสถานที่สำคัญ เช่น ที่ ร.1 พัน.1 รอ., ร.11 รอ., สนามบินสุวรรณภูมิ, ลาดหลุมแก้ว และที่สุดท้าย คือ สี่แยกคอกวัวบริเวณถนนตะนาวศรี (ข้างวัดบวรนิเวศฯ ย่านบางลำภู) ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย. 53
หน่วยของเราได้รับภารกิจใน การขอพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ออกจากที่ตั้งปกติโดยรู้ก่อนล่วงหน้าไม่ถึง 1 ชม. หลังจากเข้าที่รวมพลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสี่แยกคอกวัวไม่นานก็ต้องเคลื่อนย้าย ราวสักบ่ายโมง ผมขึ้นบนหลังคารถฮัมวี่คันแรกสุด (หากใครเห็นในรูปถ่าย ก็คงจะเห็นทหารคนหนึ่งบนหลังคารถฮัมวี่ที่ติดปลอกแขนกาชาด ถือโล่บังตัวเอง นั่นก็ผมล่ะครับ) จนกระทั่งถึงบริเวณถนนตะนาว กำลังพลรวมทั้งผู้พันก็ลงจากรถ ไปตั้งแนวโล่หน้ากลุ่มผู้ชุมนุม ผู้พันผมบอกให้ผมรออยู่ในรถก่อน เนื่องจากกลัวว่าผมอาจโดนสิ่งของขว้างปามาจะเกิดอันตราย ซึ่งอีกไม่นานก็เกิดขึ้นจริงๆ ทหารของเราตั้งแนวโล่ มีเพียงชุดเกราะป้องกัน (ผมเรียกว่า ชุดโรโบคอป) หมวกกันน๊อค โล่ และกระบองป้องกันตัว เราถูกกลุ่มผู้ชุมนุมปาของทุกอย่างที่คิดว่าจะปาได้ ทั้งขวดเบียร์ ขวดกระทิงแดง ไม้ อิฐบล๊อค กระถางต้นไม้ บันได ขวดน้ำ ฯลฯ อีกสารพัด รถบางคนกระจกถูกปาแตก แต่อาจเป็นเพราะรถฮัมวี่ของผมคงจะแข็งมากมั้งครับ กระจกเลยไม่เป็นไร หลังจากนั้นไม่นาน ผมเริ่มเห็นมีคนเจ็บจากของที่ถูกขว้างปา เลยตัดสินใจบอกพลขับว่าผมจะลงจากรถไปดูคนเจ็บ ฝากตอบ ว. (วิทยุ) ให้ด้วยนะครับ หลังจากนั้นก็ลงไปดูคนเจ็บและสถานการณ์อยู่หลังแนวโล่ ซึ่งในระหว่างนั้นก็ต้องคอยหลบซ้าย หลบขวา ก้มหัว หลบบรรดาสิ่งของที่ขว้างมา แต่ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าผมโชคดีมาก เพราะหลังจากผมตัดสินใจลงจะรถไม่นาน กลุ่มผู้ชุมนุมก็รุกไล่แนวโล่มาจนถึงรถฮัมวี่ที่ผมเคยนั่งอยู่ก่อนไม่ถึง 5 นาที ทุบรถ ทุบกระจก แล้วขึ้นไปบนช่องของพลสังเกตการณ์ (บนเพดานรถจะมีช่องไว้สำหรับให้ทหารนั่งคอยสังเกตการณ์ หรือติดปืนกล แต่นี่เป็นรถธุรการของผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ฮัมวี่รบ เลยไม่ได้ติดอาวุธ) พลขับของผมถูกผู้ชุมนุมใช้เท้ายันศีรษะกับพวงมาลัยรถ ลากลงมารุมกระทืบ แล้วจ้วงแทงด้วยมีด แต่เขาก็ยังโชคดีมากที่ใส่เกราะ มีดเลยไม่เข้า ไม่อย่างนั้นก็คงไส้ทะลักแน่ๆ ผมทำหน้าที่ช่วยกันกับทหารและนายสิบพยาบาลลำเลียงผู้ป่วยจากด้านหน้าแนวมา ไว้ที่รวบรวมผู้ป่วยเจ็บด้านหลัง ซึ่งผมกำหนดไว้ที่ริมกำแพงข้างวัดบวรนิเวศฯ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นการปะทะกันของแนวโล่กับกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ป่วยเจ็บส่วนใหญ่จึงมักเกิดจากการขว้างของแข็งเข้าใส่ มีบาดแผลแตกหรือบาดแผลที่ศีรษะ รวมทั้งผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะตื่นตระหนกทำให้เกิดอาการหายใจเร็วเกินไป (ผมขอเรียกตามศัพท์ทางแพทย์ว่า Hyperventilation syndrome) ในส่วนของผมมีผู้ป่วยอยู่ในเวลานั้นประมาณ 20-30 คน การทำงานชุลมุนมาก เพราะเรามีคนน้อยแค่ผมกับนายสิบพยาบาลรวมกันไม่ถึง 6-7 คน แต่ต้องขอขอบคุณพี่ๆน้องๆกู้ภัย เจ้าหน้าที่ EMS ของวชิรพยาบาล รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนละแวกนั้นที่ให้ความช่วยเหลือ คอยติดต่อเอารถกู้ภัยมารับคนป่วยไป รพ.ศิริราช และ รพ.วชิรพยาบาล คุณยายบางคนไม่รู้จะช่วยยังไงก็ควักยาดมให้ พี่ๆหลายคนก็วิ่งไปหาน้ำเย็น น้ำแข็ง ผ้าเย็น แอมโมเนีย ให้คนไข้ หรือแม้แต่น้องผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงที่ผมจำได้ดี น้องเค้าวิ่งหาท๊อฟฟี่คอยแจกพี่ๆทหารและคนที่มาช่วย พนักงานเดอะพิซซ่าก็คอยเอากระดาษลังมาพัดให้ผู้ป่วย แต่มีนายสิบกับพลทหารอีกคนหนึ่งของหน่วยผมที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่บริเวณ ต้นขา ถามเขาบอกว่าเขาอยู่บริเวณแถวหน้าสุดของแนวโล่ มีการ์ด นปช. คนนึงถูกยิงด้วยกระสุนยางที่ไหล่ เขาโมโห เขาพูดว่า “...ยิงกูเหรอ” หลังจากนั้นก็ชักปืนพก 11 มม. ยิงใส่ทหาร ถูกนายสิบคนหนึ่งมีบาดแผลรูกระสุนที่ต้นขาซ้าย และถูกพลทหารอีกคนที่บริเวณขา ผมได้ทำการห้ามเลือดด้วยผ้าแต่งแผลและสายรัดห้ามเลือด (Tourniquet) แล้วส่งรถกู้ภัยต่อ หลังจากเหตุปะทะช่วงแรกสักราวๆ ½ - 1 ชม. ทั้ง 2 ฝ่ายก็เจรจากัน ผู้ชุมนุมขอให้ทหารถอยออกไป ส่วนทหารขอให้ผู้ชุมนุมถอยเพื่อลากเอารถที่เสียหายออกมา ก็ตกลงกันได้ ต่างฝ่ายจึงถอยออกห่างจากกันประมาณ 20 เมตร ซึ่งช่วงนั้นผมและเจ้าหน้าที่ได้ทำการลำเลียงผู้ป่วยเจ็บออกไปได้หมดแล้ว ทั้งผู้ชุมนุมและทหารก็ต่างนั่งพักตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ของตน ในระหว่างนั้นก็มีประชาชนเอาน้ำ เอาของกิน เอาผ้าเย็นมาให้ทั้งฝ่ายทหารและผู้ชุมนุม เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงราวๆหกโมงเย็น (หลังเคารพธงชาติ) ทางทหารจึงได้รับคำสั่งให้ทำการขอคืนพื้นที่ชุมนุมอีกครั้ง โดยตั้งขบวนแถวแรกจำนวน 1 กองร้อย ด้วยแนวโล่และกระบอง และมีกำลังด้านหลังมีปืน M16 เพื่อทำการยิงขู่ขึ้นฟ้าในกรณีที่จำเป็น กำลังของทหารสามารถผลักดันผู้ชุมนุมให้ถอยร่นจากบริเวณปากทางเข้าถนนข้าวสาร จนเกือบจะถึงถนนราชดำเนินนอก ซึ่งตอนนั้นผมอยู่หลังกองร้อยที่อยู่ด้านหน้า (ชุดโรโบคอป โล่ กระบอง) โดยมีผู้บังคับกองพันและผู้บังคับการกรมคอยสั่งการอยู่ด้านหน้าของผม (หลังแถวกองร้อย) ลักษณะการจัดแนวจะเป็นแถวหน้ากระดานประมาณ 4-6 แถว ขณะนั้นผมอยู่ที่ริมฟุตบาทถนนข้าวสาร ในระหว่างนั้นผู้ชุมนุมเริ่มมีการใช้อาวุธที่ร้ายแรงมากขึ้น เช่น ขว้างแก๊สน้ำตาใส่ ขว้างระเบิดเพลิง (โมโรตอฟ) จนกระทั่งมีการเปิดถังแก๊สใส่ทหาร (โชคดีที่ไม่มีใครจุดไฟ มิเช่นนั้นทหารรวมทั้งผมคงถูกไฟคลอกตายแน่) จนกระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่สุดก็เกิดขึ้น ...
ผมจำได้ติดตาเลยว่า ตอนนั้นมีระเบิดควันลูกหนึ่งโยนมาตกที่บริเวณแถวทหารหน้าสุด ซึ่งตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นแก๊สน้ำตา จึงรีบนำผ้าพันคอปิดจมูก และเตรียมถอยกลับออก แต่ตอนนั้นทั้งทหารและผมก็โดนแก๊สน้ำตา 3-4 ครั้งแล้ว จึงรู้โดยทันทีว่านั่นไม่ใช่แก๊สน้ำตา เป็นระเบิดควันเฉยๆ ผมได้ยินเสียงผู้พันสั่งว่า .”ไม่ใช่แก๊ส ไม่ต้องถอย ตั้งแนวต่อไป” แถวทหารก็เริ่มตั้งแนวและผลักดันต่อ ผมเองก็ค่อยๆเดินตามหลังแถวทหารไป หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณหน้าแถวทหาร (ห่างจากเท้าของทหารแถวแรกไม่กี่เมตร) ผมยอมรับตามตรงว่าทั้งชีวิตไม่เคยเห็นระเบิด M79 มาก่อน แต่สิ่งที่เห็นคล้ายกับประทัดยักษ์ระเบิดที่พื้นถนน แต่ปกติประทัดยักษ์ควรจะมีแต่เสียงดังกับควัน แต่สิ่งที่เห็นกลับมีประกายไฟกระจายออกมาด้วย ผมก็คิดอยู่ว่า “ทำไมประทัดมันมีประกายไฟด้วย” จุดที่ระเบิดตกห่างจากผมไปราวๆ 10 เมตร หลังจากนั้นก็มีอีกลูกหนึ่งตกหลังผมไปทางหน้าแนวทหารที่ 2 ผมได้ยินเสียงผู้การสั่งว่า “มันเล่นของจริง ทุกคนถอย” หลังจากนั้นแถวของเราก็แตกถอยมาด้านหลัง นายสิบพยาบาลของผมคนหนึ่งดึงผมให้หลบออกมาทางฟุตบาทให้หลบ ผมหันหลังกลับมาทางถนน เห็นคนเจ็บนอนเลือดอาบอยู่ราวๆ 10-20 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นทหารเป็นลูกน้องในกองพันของผม บางคนเมื่อวานเพิ่งมาขอยา บางคนยังเคยกินข้าวด้วยกันไม่นานนี้เอง ตอนนั้นผมยอมรับจริงๆว่าเบลอไปหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปทำด้วยสัญชาตญาณ ภาพที่เห็นคือทหารนอนเลือดอาบ ตาลอย ตามร่างกายมีสะเก็ดระเบิด และบางคนมีรูกระสุนปืนด้วย เพื่อนทหารต่างพากันช่วยลากออกมาจากจุดที่ระเบิด ร้องเรียก “หมอ ช่วยด้วย” “หมอ ดูเพื่อนผมด้วย” “หมอ หมอ ช่วยเพื่อนผมด้วย” บรรยากาศตอนนั้นหลายท่านคงเห็นจากในคลิปวีดีโอหรือในสื่อต่างๆ แต่ ณ สถานที่เกิดเหตุจริงมันยิ่งกว่านั้น มันไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งตกใจ ทั้งหดหู่ ทั้งเศร้าใจ แม้ว่าผมจะเป็นแพทย์ แต่สิ่งที่ทำได้ผมก็ทำได้เพียงเข้าไปช่วยลากคนเจ็บ เข้าไปช่วยกันห้ามเลือดด้วยผ้าพันคอ เพราะตอนนั้นทั้งตัวไม่มีอุปกรณ์อะไรติดตัวเลย มีแต่ stethtoscope (หูฟัง) ไม่มีสายรัดห้ามเลือด ไม่มีผ้าพันแผล สมัยเป็น นพท.ปี 6 ผมเคยเรียนวิชาเวชปฎิบัติการยุทธ (ปฎิบัติการเพชราวุธ) ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้คือ Care under fire แต่ผมเพิ่งจะเข้าใจจริงๆว่า หัวใจของ care under fire คือ เอาชีวิตตัวเองให้รอด แล้วเอาคนเจ็บออกจากบริเวณสังหาร (Killing zone) ให้เร็วที่สุด ลืมเรื่องการปฐมพยาบาล ลืมเรื่อง primary survey หรือ ABCD ที่เคยเรียนไปได้เลย เพราะขณะช่วยเอาคนไข้ออก ก็มีทั้งระเบิด M79 ระเบิดขว้างลูกเกลี้ยง M26 เสียงปืน (ตอนหลังเพื่อนผู้หมวดบอกว่าเขามีทั้ง M16, AK47 และปืนพก) ขณะนั้นรถกู้ภัย รถพยาบาล จอดอยู่บริเวณหัวถนนตะนาว ใกล้กับวงเวียนบางลำพู รถไม่กล้าขับเข้ามาเพราะยังมีระเบิดตกอยู่เรื่อยๆและมีเสียงปืนดังอยู่ตลอด จากฝั่งผู้ชุมนุม ผมวิ่งไปเรียกตรงกลางทางให้รถพยาบาลเข้ามา (แต่ตอนนั้นก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าเป็นตัวเองก็คงไม่กล้าขับรถเข้ามาหรอก) ขอบคุณพี่ๆกู้ภัยหลายคนช่วงนั้นที่เสี่ยงตายวิ่งเข้ามาช่วยพวกเราลากผู้ป่วย ตอนนั้นผู้ป่วยทั้งหมดถูกลำเลียงออกมารวมกันบริเวณเกาะกลางถนนตรงแยกบางลำพู ผมช่วยกันลำเลียงผู้ป่วยออกมาได้ 2-3 คน ใส่รถกู้ภัย หลังจากนั้นพอจะกลับเข้าไปช่วย สิ่งที่เห็นก็คือฝ่ายตรงข้ามก็ยิงระเบิดไล่หลังมาเรื่อยๆจนเกือบถึงหัวถนน ตะนาวตรงหัวมุมวัดบวรนิเวศฯ ทหารฝ่ายเราต้องเริ่มคว้าปืนมายิงคุ้มกันให้พวกที่ลำเลียงผู้ป่วยออกมาตรง ฟุตบาท 2 ข้างของถนนตะนาว ผมไม่สามารถเข้าไปในบริเวณถนนตะนาวได้อีกแล้วเพราะบริเวณนั้นกลายเป็น killing zone ผมจึงต้องหลบอยู่หลังรถกู้ภัยตรงวงเวียนบางลำพู (พร้อมๆกับบอกให้พี่ๆกู้ภัยก้มหัวหมอบ ต้องเอาชีวิตตัวเองรอดก่อนไปช่วยคนอื่น) จุดนั้นมีการปะทะอยู่นานประมาณ 15-20 นาที ฝ่ายอำนวยการของผมแจ้งให้ทราบในภายหลังว่านับระเบิด M79 ได้เกือบ 15 ลูก ระเบิดขว้าง M26 อีก 2 ลูก รวมทั้งมีพลทหารคนหนึ่งซึ่งผมไปรับหลังจากกลับจาก รพ. บอกผมว่า เขาเห็นแสง laser pointer สีเขียวคอยส่องอยู่แถวศีรษะของทหารแถวหน้า คาดว่าน่าจะมีคนซุ่มยิงมาจากบริเวณอาคารสูงบริเวณแยกคอกวัว แต่คงไม่พบเป้าหมายซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชา เพราะแต่ละคนต่างกระจาย ไม่รวมกัน และมี รปภ. คุ้มกันไม่มากนัก หลังจากนั้นเราได้ลำเลียงผู้ป่วยทั้งหมดขึ้นรถพยาบาลได้หมด ฝ่ายนั้นเริ่มยิงตอบโต้มากขึ้น ผมเห็นไม่ปลอดภัยจึงขอให้รถกู้ภัย รวมทั้งรถจี๊ปพยาบาลไปหลบอยู่ในซอยบางลำภู ฝ่ายนั้นก็ยังคงพยายามยิงระเบิดใส่ท้ายขบวนรถของเราที่จอดอยู่ถนนริมวัดบวร นิเวศฯ ซึ่งคาดว่าหากไม่มีทหารของเราที่คอยยิงคุ้มกันตอนลำเลียงผู้ป่วยและถอยกลับ รถหลายคันคงถูกยิงระเบิด ทหารและประชาชนแถวนั้นคงตายอีกเป็นจำนวนมาก ต่อมาผู้บังคับหน่วยของเราจึงขอหน่วยเหนือในการถอนกำลัง ซึ่งกว่าจะเคลื่อนย้ายออกไปได้หมด ก็ต้องใช้เวลานานเพราะรถมีจำนวนมาก และการจราจรแถวนั้นก็ถูกปิดกั้นบางส่วน แถมตอนเราถอนตัวฝ่ายตรงข้ามก็ยังพยายามยิงระเบิดใส่พวกเราอีกด้วย ในช่วงก่อนถอนตัวผมจำได้ว่ามีเด็กวัยรุ่นใส่เสื้อแดง 2 คน ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดข้างๆรถจี๊ปพยาบาล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยั่วโมโหว่า “หน่วยพยาบาลคงไม่โดนอะไรหรอกมั้ง มีคนตายด้วย พวกพี่ยิงคนเหรอ” ผมยอมรับว่าแม้ว่าปกติผมจะไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่จากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาที่ประสบ ผมเลือดขึ้นหน้า อารมณ์ตอนนั้นคุกรุ่นเต็มที่ ผมพูดจริงๆ ผมอยากลงไปต่อยเด็กคนนั้น แต่ผมก็อดทนแล้วตอบกลับไปว่า “แล้วทีพวกน้องยิงระเบิดใส่พวกพี่ล่ะ น้องยิงทั้งระเบิด น้องขว้างทั้งระเบิด แถมเอาอาวุธสงครามยิงใส่ทหาร ทหารแถวหน้าเค้ามีแต่โล่กับกระบอง ป้องกันตัวเองอะไรไม่ได้เลย เค้าก็มีครอบครัว มีลูกมีเมีย แล้วนี่ที่ทหารยิงก็เพื่อคุ้มกันคนเจ็บกับตอนถอนตัว แล้วน้องจะให้ทหารเอาโล่กับกระบองไปไล่ตีไอ้พวกที่ยิงระเบิดใส่หรือไง น้องไสหัวไปเลย ไสหัวไปหลบระวังลูกหลงจากระเบิดที่พวกน้องยิงมาด้วยแล้วกันเด็กคนนั้นอึ้งไป แล้วก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์ออกไป เราถอนตัวออกจากจุดตรงแยกคอกวัวเป็นหน่วยสุดท้ายกลับที่ร่วมพลเดิม ซึ่งก็หลงทางไปทางวังสวนจิตรลดา เนื่องจากเราไม่ใช่ทหารกรุงเทพจึงไม่รู้เส้นทาง คืนนั้นพอผมกลับมาได้ พบกับผู้พัน พบกับผู้กองและเพื่อนผู้หมวด จึงได้รู้ว่าในขณะที่หน่วยของผมถอนตัวออกมาทางถนนตะนาว มีอีกกองร้อยที่ต้องถอยร่นออกมาทางถนนข้าวสาร โดยมีผู้บังคับกองพันอีก 2 คน และรองผู้บังคับกองพันอีกคน ผู้พันคนหนึ่งถูกยิงจากฝั่งตรงข้ามเข้าที่สีข้าง เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามกราดยิงปืนซึ่งคาดว่าเป็น M16 เพื่อนผมบังผู้พันของเขาอยู่แต่กระสุนเฉี่ยวข้างตัวไปถูกผู้พัน แต่ที่น่าเศร้าคือมีนายสิบของต่างหน่วยอีกคนถูกยิงทะลุหมวกเหล็ก เสียชีวิตคาที่ นายสิบที่เป็น รปภ. หลายคนก็ถูกยิงเข้าที่ขา โชคดีมากๆและต้องขอขอบคุณเจ้าของผับแห่งหนึ่งที่ถนนข้าวสาร ที่เปิดร้านนำคนเจ็บเข้ามา ให้เด็กในร้านช่วยปฐมพยาบาล ทำแผล ห้ามเลือด ปิดประตูหน้าร้าน และติดต่อตำรวจและรถกู้ภัยให้มารับที่หลังร้านซึ่งทะลุออกทางถนนอีกเส้น หนึ่ง มีทหารประมาณ 1 กองร้อยที่ไม่สามารถออกมาขึ้นรถได้เพราะหลงเข้าไปในถนนข้าวสารและถูกปิดทาง ด้านถนนตะนาวไว้ ก็ต้องวิ่งออกมาทางถนนสามเสนไปยังที่รวมพลซึ่งอยู่ห่างเกือบ 5 กม. แต่อย่างไรก็ตามทุกคนปลอดภัยดี (ขณะนี้ผมได้ไปเยี่ยมทหารทุกคนที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ทุกคนปลอดภัยดี และออกจาก ICU ได้หมดแล้ว) ในขณะที่เกิดเหตุการณ์โทรศัพท์มือถือของผมแบตหมด พอกลับมาชาร์ทแบต ก็พบว่ามีหลายคนโทรเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของผมที่ วพม. ผมโทรกลับไปจึงทราบว่ามีนายทหารหลายคนถูกระเบิด หนึ่งในนั้น arrest (เสียชีวิต) ก่อนมา รพ. ต่อมา CPR (ปั๊มหัวใจ) ขึ้น และต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองด่วน ซึ่งนายทหารคนนั้นเป็นเพื่อนกับอาจารย์ที่พระมงกุฎของผม แต่อาจารย์จำผิดคนคิดว่าเป็นผู้บังคับกองพันของผมจึงรีบโทรหาผม แต่มือถือผมแบตหมด จึงให้เพื่อนติดต่อ ในภายหลังจึงทราบว่าคือ พี่เปา (พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม) ซึ่งอยู่รุ่นเดียวกับผู้พันของผม คืนนั้นผมกินข้าวไม่ลง กว่าจะนอนตาหลับได้ก็เกือบตี 3 ซึ่งภายหลังอาจารย์ก็โทรมาบอกว่า พี่เปาเสียแล้ว ให้บอกผู้พันผมด้วย ผมหลับไปกลางพื้นโรงเก็บรถที่ที่รวมพล ตื่นขึ้นมาตอน 6 โมง ผมไม่ฝันร้าย แต่ผมอยากให้เรื่องที่ผมจำได้มันเป็นแค่ความฝัน วันรุ่งขึ้นผมได้ไป รพ.พระมงกุฎ เพื่อติดตามผู้ป่วยและประสานงานกับอาจารย์ที่ รพ.พระมงกุฎ วันนั้นเองผมได้ทราบว่ามีทหารของผมเกือบ 10 คนที่บาดเจ็บตอนปะทะช่วงแรกและที่ถูกสะเก็ดระเบิด บาดเจ็บเล็กน้อย ที่ส่งไป รพ.วชิรพยาบาล จ่าคนหนึ่งติดต่อมาว่าเขาติดอยู่ที่วชิรพยาบาล แต่มีเสื้อแดงมาปิดล้อม ทหารบางคนที่บาดเจ็บไม่มาก ทาง ER ให้คัดแยกอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พอผู้ชุมนุมเสื้อแดงมาส่งคนป่วยของเขาที่เจ็บ ก็มาไล่กระทืบทหารของผมที่นอนอยู่ ทหารต้องหนีตาย บางคนต้องปีนดาดฟ้าหนี แต่ขอขอบคุณพี่ๆน้องๆหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รพ.วชิรพยาบาล ที่ช่วยกันพาทหารไปหลบที่บริเวณที่ปลอดภัยหลัง รพ. หาชุดไปรเวทให้ใส่ และให้พักอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยไปก่อน ทหารบางคนเล็ดลอดออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยที่เอาเสื้อ เครื่องแบบใส่ทับให้ขึ้นรถกู้ภัย เอาวิทยุกับอุปกรณ์ออกมาใส่กระเป๋า EMS แล้วมาส่งให้ที่รวมพล ผมเห็นทหารหลายๆคนเจ็บ เห็นทหารที่เป็นลูกน้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ็บ ผมอาจจะโชคดีที่ไม่บาดเจ็บอะไร (แต่ตอนหลังมาคิดก็ยังคิดอยู่เลยว่า รอดมาได้ยังไงเนี่ย ^_^) แต่บาดแผลในจิตใจก็มีอยู่ในหัวใจทหารทุกๆคน ผมน้ำตาซึมทุกวันที่ไปเยี่ยมลูกน้องที่เจ็บ ผมเห็นผู้การ รองผู้การ ผู้พันของผมพยายามกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่เห็นลูกน้องตัวเองเจ็บ) เฉพาะหน่วยของผม มีคนเจ็บที่ต้องนอน รพ. เกือบ 80 คน บาดเจ็บเล็กน้อยที่ไม่ได้นอน รพ. อีก 60 กว่าคน ผมขอเถอะครับ ... มีประชาชนบางคนถามผมว่าผมโกรธเสื้อแดงมั้ย ผมแค้นเค้ามั้ย ผมตอบไปว่า แม้ผมจะรู้สึกโกรธ แต่ผมแยกแยะได้ ผมเคยเจอผู้ชุมนุมทั้งที่ราบ 11 ที่ลาดหลุมแก้ว คนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่จะมาชักปืนยิงใส่หรือโยนระเบิดใส่ เกือบทั้งหมดเป็นคนธรรมดาที่เค้ามาเรียกร้องในสิ่งที่เค้าต้องการ แต่เราอย่าตกเป็นเครื่องมือของคนบางคน (จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบ แต่น่าจะคิดกันได้นะครับ) อย่าให้ใครบางคนใช้ทั้งคนเสื้อแดง ใช้ทหารเป็นเพียงหมากบนกระดาน ให้เราต่างฝ่ายต่างเจ็บต่างล้มตายเพื่อผลประโยชน์ของคนบางคน ประเทศเราจะล่มสลายอยู่แล้วนะครับ เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ประเทศชาติ อย่าให้ใครแค่ไม่กี่คนมาทำลายประเทศไทยของเราเลย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตก็ยังมีเรื่องดีๆ ขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆร่วมชาติทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือคนเจ็บโดยไม่แบ่งสี ไม่แบ่งความคิด ผมซาบซึ้งในน้ำใจของทุกๆท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ผมคงไม่สามารถพาคนเจ็บออกมาได้ขนาดนี้ ดีไม่ดีผมอาจจะโดนไปด้วยก็ได้

เหนือ สิ่งอื่นใด ตลอดระยะเวลาที่เรียนในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ผมรับรู้รับทราบมาโดยตลอดถึงภารกิจของแพทย์ทหาร ถึงตอนนี้อารมณ์ของผมจะตกอยู่ในความเศร้า ตกอยู่ในความหดหู่ แต่ผมก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ของแพทย์ทหาร ที่ได้ทำหน้าที่เป็นวีรบุรุษในแนวหน้า (Heroes in the front line) อย่างที่ทหารขนานนามเหล่าแพทย์ของเรา ถึงแม้ว่า “การเป็นแพทย์ทหารนั้นมันเหนื่อย” แต่มันก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นแพทย์ทหารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ได้เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ภาพที่ได้ประสบมา ผมคงจดจำไปจนวันตาย (เพราะตอนนี้มันติดตาแล้วครับ ลืมไม่ลง) ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่านคุ้มครองเพื่อนทหารและประชาชนทุกคนให้ปลอดภัย และคุ้มครองให้ประเทศชาติของเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้

ท้ายที่สุด ... ขอคารวะหัวใจของพี่น้องผองเพื่อนทหารจากใจจริง

แพทย์ทหาร

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

Truth today




It is clear the group riot of red shirts in Thailand Intended to change the democracy government of the country into a dictatorship by former prime minister Thaksin Shinawatra. Who was charged with fraud cases fled the country and are abroad are behind the insurgency and terrorism in Thailand

And I do not see the leader of the red rebel group out to denied that "they had not done as a routine."
It means accepting that they are made.???

และนี่คือสภาพหลังจากพวกกบฏแดงย้ายที่ประท้วง
















รวบรวมภาพเหล่านี้มาจากอินเตอร์เน็ท หลังจากพวกประท้วงเสื้อแดงย้ายที่ออกไปเนื่องจากมันทนความอุบาทว์โสโครกของพวกมันเองไม่ไหว ดูเอาละกันครับว่ามันทำกับสถานที่ศักย์สิทธ ที่เป็นสัญลักษณของประชาธิปไตยเราแบบนะเหรอ โถผ้เรียกร้องหาประชาธิปไตย มันต้องการแค่ประชาธิปไตยที่พ่อทักษิณมันเขียนเท่านั้นแหละ