อ่านแล้วน้ำตาใหลครับ ขออนุญาติคัดลอกเอามาเก็บไว้ จากไทยรัฐออนไลน์ทหารกล้าผู้ค้ำราชบัลลังก์...วีรบุรุษกองกำลังบูรพา...ขุนพลแดนใต้ ล้วนแต่เป็นสมญานามที่คนในกองทัพขนานนามให้กับ ผู้พันเปา-พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ แห่งค่ายจักรพงษ์ กองกำลังบูรพา ตลอดเวลาหลายทศวรรษที่รับใช้ชาติ และเสียสละเพื่อแผ่นดินไทย เปาบุ้นจิ้นแห่งกองทัพบกคนนี้ตะลุยศึกใหญ่ๆมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่โดดขวางการเปิดบ่อนชายแดนไทย-กัมพูชา, คุมหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 35 นำกำลังทหารดูแลความสงบในพื้นที่เสี่ยงระเบิด จ.นราธิวาส รวมทั้งนำกำลังสลายการชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดง ช่วงเมษาฯเลือดปีที่แล้ว ซึ่งทุกครั้งก็เอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย จนเป็นที่ร่ำลือว่า "ผู้พันเปา" ไม่กลัวตาย!! กระทั่งมาถึงภารกิจล่าสุด ทวงคืนพื้นที่สี่แยกคอกวัวจากกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อค่ำวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะเป็นฉากสุดท้ายของผู้พัน ตงฉิน!!
ถือเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของกองทัพบก และยิ่งเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตสำหรับ "เอ-นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม" ภริยา วัย 42 ปี ผู้อยู่เคียงข้าง "ผู้พันเปา" จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แม้ความเศร้าจะยังไม่จางไปจากแววตา แต่เธอก็ยินดีเปิดใจพูดคุยกับทีมข่าวหน้าสตรี ไทยรัฐ เพื่อถ่ายทอดความทรงจำอันงดงามล้ำค่า ที่มีต่อสามีผู้เป็นที่รักและเทิดทูนยิ่ง
จนถึงตอนนี้ทำใจได้บ้าง หรือยังคิดตลอดเวลาว่าเขายังอยู่กับเรา เพิ่งแต่งงานกันมาแค่ 2 ปีกว่าเท่านั้น (เสียงสั่นเครือ) อย่างตอนช่วงงานศพก็ยังไปคุยกับเขาทุกวัน หาของที่ชอบไปให้ทาน อยู่บ้านก็คุยกับเขา ตอนรดน้ำศพก็คอยบอกเขาว่ามี ใครมาบ้าง การสูญเสียคนที่เรารักที่สุดไป เป็นความสูญเสียยิ่งใหญ่ของชีวิต แต่สิ่งที่ทำให้ครอบครัวเรามีแรงมีกำลังใจอยู่ต่อไปได้ คือ พระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในพิธีศพ และพระราชทานดินฝังศพ "พี่ร่มเกล้า" อย่างสมเกียรติที่สุด เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันเกิดครบ 44 ปี ของเขา ด้วยน้ำพระทัยและพระเมตตาอันล้นเหลือ ช่วยหล่อเลี้ยงพวกเราให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ สิ่งนี้มีแต่คนไทยเท่านั้นที่จะได้รับในยามที่เราทุกข์แทบขาดใจ
วัน ที่ทรงวางพวงมาลา และพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ สมเด็จพระนางเจ้าฯ รับสั่งให้กำลังใจอย่างไรบ้างทรงมีรับสั่งว่าเสียพระทัย เพราะ "ร่มเกล้า" เป็นทหารที่ดี และจงรักภักดีต่อราชวงศ์มาก ทรงรู้สึกเสียดายที่บ้านเมืองต้องสูญเสียทหารดีๆที่จะดูแลปกป้องประเทศ และทรงขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาอย่างดี ถ้าพูดจริงๆแล้ว ไม่ว่าครอบครัวเราจะทุกข์สาหัสเท่าใด ก็คงไม่เท่ากับความโทมนัสของล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ ที่ทรงเห็นคนไทยทำร้ายกันเองในวันนี้
ชีวิตที่เหลือ อยู่จะดำเนินต่อไปยังไงนี่ล่ะคือสิ่งที่ต้องตั้งหลักมากๆ เพราะเราเคยยึดเขาเป็นหลักนำมาตลอด เคยมีเขาอยู่เคียงข้างตลอด งานที่เราเคยคิดว่าทำเยอะแล้ว ก็ไม่ได้เสี้ยวของเขา "พี่เปา" เป็นต้นแบบที่ผลักดันเราว่า ยังต้องทำอะไรอีกมากเพื่อตอบแทนแผ่นดิน เรายังทำไม่พอที่จะพร้อมตายเลย!! ที่ผ่านมา เวลาเจออุปสรรคท้อถอย หรือเสียกำลังใจ เขาจะดึงเราให้คิดดี ทำดี สอนให้รู้จักอภัย อย่าแค้นอย่าอาฆาต เราสองคนเชื่อเรื่องกรรม ใครทำไม่ดีก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้นเอง เขาจะสอนว่าทำดีอย่าท้อ ถึงไม่มีใครเห็น ก็ไม่ต้องสนใจ ทำต่อไปเรื่อยๆ เรารู้แก่ตัวเราเอง เขาคือแรงบันดาลใจทุกอย่าง วันนี้เมื่อเขาจากไปจึงเสียหลักมาก ไม่เคยสูญเสียอะไรเท่านี้ มาก่อนในชีวิต แต่ต้องพยายามลุกขึ้นมาให้ได้
ปกติ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก ตั้งแต่สามีจากไปร้องไห้หนักแค่ไหนแรกๆ ร้องไห้ไม่ออก มันเหมือนจุกอยู่ข้างใน!! ช่วงงานศพยังรู้สึกว่าเขาไม่ได้ไปไหน นอนหลับอยู่ที่วัด แต่ตอนนี้อ่อนแอ (เสียงแผ่วเบา) เพราะมองไปทางไหน ก็มีแต่ความทรงจำอยู่รอบตัว อย่างเก้าอี้สีขาวที่นั่งทำงานอยู่ เขาก็ซื้อ ให้เป็นของขวัญ พอเปิดลิ้นชักก็เห็นกล่องชาที่เขาซื้อให้ดื่ม หรืออย่างเสื้อตัวนี้ก็เป็นเสื้อตัวสุดท้ายที่เขาใส่ก่อนจากไป...เข้าใจเลย ว่า อารมณ์ของคนที่อยากตามไป อยู่กับคนที่เรารักเป็นยังไง ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนามาก็คงแย่
สามีคนนี้เป็นแบบ อย่างด้านใดบ้าง
เขาเป็นคนชักจูงสู่สิ่งดีๆทุกอย่างในชีวิต ตั้งแต่รู้จักกันมา 10 กว่าปี เขาบอกเสมอว่า ต้องหมั่นทำความดี เมื่อถึงเวลาจะได้พร้อมตาย!! "พี่เปา" เป็นคนทำบุญได้ทุกที่ทุกเวลา อยู่ในจิตสำนึก เช่น ไปตลาดก็ซื้อปลาปล่อย เดินไปเจอเด็กหรือคนแก่ จะทำทาน ช่วยหมด ขนาดกดเอทีเอ็มก็โอนเงินบริจาคให้หลวงตามหาบัว คือเขาทำบุญตลอด จนเรารู้สึกว่าต้องทำตามเขา "พี่เปา" จะบอกตั้งแต่ก่อนแต่งงานว่า เราสองคนอย่ามีลูกเลยนะ เพราะเขาอยากทุ่มเทเวลาทั้งหมดทำงานให้แผ่นดิน แล้วบั้นปลายชีวิตค่อยจูงมือกันเข้าวัด เขาเทิดทูนในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯเหนือสิ่งอื่นใด สามารถสละได้ทุกอย่างเพื่อล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์
ในมุมสบายๆ "พี่เปา" เป็นสามีที่น่ารักขนาดไหนเขาเป็นคนน่ารัก อ่อนโยน และใจดีมาก จะดูแลทุกคน และห่วงทุกคนมากกว่าตัวเอง ห่วงเรา ห่วงพ่อแม่เรา และพ่อแม่ของเขา ห่วงพี่น้อง ห่วงหลาน คือจะคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ เขาเป็นที่รักของทุกคน เวลาว่างๆก็จะชอบรำดาบ กับอ่านหนังสือ เขาทำงานหนักมาก เวลาเหนื่อยๆก็อยากอยู่บ้านอยู่กับครอบครัว รักเพื่อนแต่ไม่ชอบสังคม เขาชอบศึกษาธรรมะ และความสุขอีกอย่างคือการเรียนหนังสือ ก่อนจากไปกำลังจะจบปริญญาเอกที่นิด้า ตั้งใจไปเรียนเพราะเขาอยากนำวิชาความรู้มาทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง
ฉายา "เปาบุ้นจิ้น" ได้มายังไง
ชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้คือ "ก้อง" แต่เพื่อนๆโรงเรียนนายร้อย จปร.เรียกเขาว่า "เปา" มาจาก "เปาบุ้นจิ้น" เพราะเขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา คือถูกเป็นถูก และผิดเป็นผิด ถ้าเห็นอะไรไม่ถูกต้อง เขาจะกล้าเดินเข้าไปชี้แจงว่าสิ่งนี้ไม่ถูก โดยไม่กลัวว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเองจะเป็นบวกเป็นลบยังไง ถือเป็นความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
ทุกครั้งที่สามีออกไปปฏิบัติภารกิจ กลัวไหมคะว่าเขาจะไม่กลับมา!!ไม่เคยคิด และประมาทเรื่องนี้มาก เพราะ "พี่เปา" พูดตลอดว่า พี่สัญญาว่าจะตายทีหลัง "เอ" จะได้อยู่ดูแล "เอ" จนถึงวาระสุดท้าย เราก็ยึดคำพูดนี้เป็นสัญญามาตลอด (เสียงสั่นเครือ) โดยไม่เคยคิดว่าเขาจะจากไปก่อน!! แล้วเขาก็ผ่านศึกหนักหนาสาหัสมาแล้วเยอะแยะ ร่วมมาทุกเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง แรกๆก็แอบห่วงอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่เขาพูดกรอกหูตลอด ให้ความมั่นใจว่า พี่ไม่กลัวตาย พี่ไม่เป็นอะไร ขนาดตอนลงใต้นานเป็นปี เขาก็โทร.มาหาทุกวัน พูดกับเราตลอดว่า พี่จะต้องพาลูกน้องกลับบ้านให้ครบทุกคน ซึ่งเขาก็ทำได้ คือ ไม่ว่าจะผ่านศึกไหนๆมา เขาก็อยู่รอดปลอดภัย!!
ฟังดูเหมือน "ผู้พันเปา" ไม่กลัวตาย?!เขาไม่กลัวตายเลย เพราะมั่นใจว่าตัวเองคิดดี ทำดี และชอบพูดถึงเรื่องความตายตลอดเวลา เขาจะพูดเสมอว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราทำความดีเพียงพอที่จะตายแล้วหรือยัง เขาก็ทำความดีมาเยอะแล้ว ถ้าจะต้องตายวันนี้พรุ่งนี้ เขาก็พร้อม!! ตรงนี้เป็นแรงผลักเราตลอดว่า เราต้องตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง จะได้ตายอย่างภาคภูมิใจที่ได้ตอบแทนคุณแผ่นดิน เหมือนที่ "พี่เปา" ทำมาตลอด
วัน ที่เกิดเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว มีลางบอกเหตุล่วงหน้าไหมปกติเรา ไม่ค่อยเจอกัน ก็จะติดต่อทางโทรศัพท์ตลอด เพราะ "พี่เปา" ประจำอยู่ที่ปราจีนบุรี พอวันศุกร์และเสาร์ถึงมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ วันเกิดเหตุเขาโทร.มาหา บอกให้โทร.หาคุณแม่เขาให้หน่อย บอกให้แม่สวดขอพรให้ด้วย เพราะภารกิจนี้ยาก!! คุณแม่เขาก็สวดใหญ่เลย เพราะปกติเขาไม่เคยพูดคำว่ายาก และก่อนจะไปที่สี่แยกคอกวัว เขายังโทร.หา "เอ" บอกว่า พี่ไปแล้วนะ!! ฟังแล้วใจคอไม่ดีเลย ก็บอกเขาว่า พี่ใส่หมวกนะ เขายังพูดว่าไม่เป็นไรหรอก อากาศร้อน... แล้วก็โดนระเบิดที่ศีรษะจริงๆ!!
ใจ แทบขาดเลยไหม พอรู้ว่าสามีถูกระเบิดที่ศีรษะ?!(เงียบไปครู่ใหญ่) วันนั้นรู้ข่าวว่าลูกน้อง "พี่เปา" โดนยิง ก็เอะใจว่าเขาคงโดนเหมือนกัน แต่คิดว่าแค่บาดเจ็บ ไม่น่าเป็นอะไรมาก ตอนนั้นทำงานอยู่ที่ราบ 11 พอเห็นหน้าท่านแม่ทัพภาคที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้านายของเขา รู้เลยว่าอาการของ "พี่เปา" ต้องหนักมาก จำได้ว่าถามท่านแม่ทัพว่าเขาจากไปหรือยัง?! เพราะยังหาตัวไม่เจอ ท่านแม่ทัพปลอบใจว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น...แค่นี้เราก็มีความหวัง พยายามเรียกสติ สวดมนต์ ใครโทร.มาถามข่าวก็ขอให้ช่วยสวดมนต์ขอให้เขาปลอดภัย รู้ข่าวตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่า รอจน 3 ทุ่ม ถึงรู้ว่าเขาอยู่ รพ.พระมงกุฎฯ ตอนไปถึงโรงพยาบาล "พี่เปา" นอนนิ่งไม่รู้สึกตัว มีรอยเลือดเกรอะกรังที่ศีรษะ แต่ยังไม่มีใครกล้าบอกเราว่าโดนระเบิด!! หมอตัดสินใจนำตัวเข้าห้องผ่าตัดด่วน ผ่านไปจนเกือบตีหนึ่ง คุณหมอเดินมาบอกว่าสามีคุณคงอยู่ได้อีก 2 ชั่วโมง ก็จะหมดฤทธิ์ยา!! ตอนนั้นตัวชาไปหมด แต่พยายามรวบรวมสติ อยากให้เขาไปดีที่สุด ให้เขาไม่ต้องห่วง ให้คิดแต่เรื่องดีๆ ไม่ต้องกังวล ได้สัญญากับเขาก่อนจะหมดลมหายใจว่า สิ่งใดที่พี่อยากทำ และยังไม่ได้ทำ ขอให้ใช้จิตวิญญาณของเขาในร่างกายที่ยังมีชีวิตของเรา ทำในสิ่งที่เขาตั้งใจต่อไป
หลัง"พ.อ.ร่มเกล้า"เสียชีวิต มีเสียงพูดว่า ภรรยาได้รับแต่งตั้งจาก ครม.ให้เป็นที่ปรึกษานายกฯทันที?!ขอ ชี้แจงตรงนี้ว่า ตำแหน่งใหม่ที่จะย้ายไปเป็นตำแหน่งของข้าราชการประจำ ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง และเป็นการย้ายไปในระดับตำแหน่งเดิม คือ อำนวยการระดับสูง หรือเทียบเท่าซี 9 เดิม เป็นระดับเดิมที่ดำรงตำแหน่งผอ.สำนักบริหารกลาง ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เลื่อนขั้น เป็นแค่การย้ายกลับไปทำงานที่เก่า คือ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยรับราชการมา 10 กว่าปี และเป็นที่ๆได้รู้จักกับ "พี่เปา" ผ่านการประสานงานกัน เพียงแต่ ตำแหน่งนี้จำเป็นต้องผ่านกระบวนการเสนอ ครม.จึงกลายเป็นข่าว อยากให้มองว่าการย้ายครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะได้ทำงานตรงกับความรู้ความ สามารถ และตั้งใจว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิใจแค่ไหนที่เกิด เป็นภรรยาของทหารหาญคนนี้ภูมิใจเสมอ และศรัทธาในผู้ชายคนนี้ มันไม่ใช่รักอย่างเดียว แต่ศรัทธาในตัวเขาตลอด เขาเคยบอกว่า คนเราจะได้อยู่เป็นคู่กัน ต้องมีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน และมีศรัทธาเสมอกัน ซึ่งเขาจะนำเราตลอด ทำให้เราต้องพยายามตามเขาให้ทัน พยายามทำความดี เพื่อที่เราจะได้เจอกันอีก!!
ทีมข่าวหน้าสตรี
ไทย รัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวหน้าสตรี
2 พฤษภาคม 2553, 05:45 น.
บทความจาก "ไทยรัฐ"